Published on 12 เมษายน 2025 , 7:49 pm

‘Manifestation’ ความเชื่อ และการลงมือทำ คิดยังไงให้กลายเป็นจริงด้วยศาสตร์จาก Kiss My Soul 

นภสร ศิรินรรัตน์ หรือ คุณเหวิน ผู้ก่อตั้งและสร้างสรรค์ Kiss My Soul นั้นมีแรงบันดาลใจสำคัญจากการต้องการบำบัดและฟื้นฟูจิตวิญญาณ โดยใช้ศาสตร์บำบัดด้านพลังงานโดยผสมผสานกับธรรมชาติบำบัด โดยเน้นดูแลในเรื่องสุขภาพองค์กรรวม (Holistic Wellness) เชื่อว่า กาย-ใจ-จิตวิญญาณ มีผลต่อสุขภาพองค์รวม 

ธุรกิจ Kiss My Soul เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกคนต้องอยู่แต่ในบ้าน คุณเหวินจึงหันมาเรียนคอร์สเกี่ยวกับการบำบัดดูแลตนเองแบบใหม่ จากนั้นก็เริ่มต้นธุรกิจโดยการให้บริการดูดวงจากไพ่ในชื่อ ‘Kiss My Soul Tarot’ ก่อนที่จะขยายขอบข่ายไปสู่การจัด Workshop และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพองค์รวม (Holistic Health)

เป้าหมายสำคัญของ Kiss My Soul คือการช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้พบกับตัวตนแท้ของพวกเขา เรียนรู้วิธีรักและดูแลตนเอง รวมถึงได้รับพลังบวกและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข

สิ่งที่ทำให้ Kiss My Soul โดดเด่นคือ การผสมผสานศาสตร์และองค์ความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโยคะ, คลื่นเสียงบำบัด ดอกไม้บำบัด เรกิ และไพ่ยิปซีบำบัด มาผสมผสานเป็นประสบการณ์ต่างๆ  รวมถึงเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยกัน เช่น แบ่งปันประสบการณ์ในวงสนทนา เป็นต้น นอกจากนี้ Kiss My Soul ยังเชื่อในพลังของธรรมชาติ โดยสอดแทรกให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับธรรมชาติผ่านการเดินเท้าเปล่าบนหญ้า การทำสมาธิใกล้ชิดกับแหล่งน้ำ หรือแม้แต่การตากแสงแดด ซึ่งจะช่วยเติมเต็มพลังงานและสร้างความสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ

เลือกสถานที่ที่ให้พลังงานดีๆ

การจัดกิจกรรมที่สร้างความผ่อนคลายและสงบให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศโดยรอบ ปัจจัยสำคัญประการแรกคือควรมีธรรมชาติ เช่น ต้นไม้หรือสวนขนาดเล็กเพื่อสร้างบรรยากาศที่ร่มรื่นและผ่อนคลาย สิ่งสำคัญอีกประการคือบริเวณดังกล่าวควรมีความเงียบสงบ ปราศจากเสียงรบกวนมากจนเกินไป เพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมหงุดหงิดและเสียสมาธิ ควรมีสถานที่จอดรถที่สะดวกสบายสำหรับผู้เข้าร่วม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางมายังสถานที่จัดงาน

“แต่ละที่มีพลังงาน แต่ละที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน บางที่มีเป็นธรรมชาติก็จะมี Energy ของธาตุดิน ก็จะเหมาะกับคนที่ต้องการ Grounding”

ฟื้นฟู หรือเพิ่มพลังให้ตัวเองอย่างไร?

ชีวิตที่ดีต้องอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติจะได้รับพลังบวกกลับมา ทำสมาธิ หายใจออกยาวๆ จะช่วยขจัดพลังงานเก่าออกจากร่างกาย สัมผัสน้ำ, แสงแดด, หญ้า จะเติมพลังชีวิตใหม่ เล่นโยคะผ่อนคลายอารมณ์และความเครียดได้อย่างดีเยี่ยม มีสัตว์เลี้ยงจะทำให้เปิดหัวใจรับพลังรักมากขึ้น

การจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปมักต้องใช้พลังงานและการทำงานทั้งทางจิตและร่างกาย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการผ่อนคลายและปล่อยพลังงานออกเป็นระยะ การออกกำลังกายหรือเดินในบริเวณธรรมชาติช่วยให้รู้สึกนิ่งและสงบจิตใจมากขึ้น นอกจากนี้ การฮีลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การหายใจลึกๆเพื่อให้ออกซิเจนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หรือการฟังบำบัดด้วยเสียงสั่นสะเทือนที่ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ ก็ถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน การให้และรับพลังงานระหว่างกันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ชีวิตมีดุลยภาพ ขณะที่การนั่งสมาธิหรือการทำเรกิบำบัดช่วยเคลียร์พลังงานและทำให้รู้สึกเบาสบายขึ้น ดังนั้น ควรมีกิจกรรมดังกล่าวเสริมเข้าไปในเวิร์กช็อปด้วย เพื่อการผ่อนคลายและการไหลเวียนของพลังงานที่สมดุล

“การที่เรากลับไปอยู่กับธรรมชาติ ไปดึง wisdom ของเขาทำให้เราสงบมากขึ้น นิ่งขึ้น การใช้ศาสตร์เหล่านี้ก็ช่วยได้เช่นกัน ตอนเช้าทำ meditate กับตัวเอง ทุกศาสตร์ที่ทำให้คนอื่น ก็ทำให้ตัวเองเช่นกัน”

“ธรรมชาติสอนเราเรื่องเดียวเลยคือ บาลานซ์ อะไรที่ไม่สมดุล ร่างกายจะบอกเราเองเลย เรามีหน้าที่ที่จะตระหนักแล้วทำให้มันสมดุลอีกครั้งหนึ่ง”

ความคาดหวังและอนาคตของ Kiss My Soul

ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจดูแลสุขภาพองค์รวมในประเทศไทย Kiss My Soul จึงมุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและมีคุณค่ายิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า ผ่านการคิดค้นกิจกรรมใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ Kiss My Soul เป็นมากกว่าแค่สถานบริการ แต่เป็นคอมมูนิตีสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น

“ปีนี้อยากเป็น Wellness Destination นอกจากที่ไทยแล้ว อยากเป็นของเอเชียด้วย เพราะว่าจะมีลูกค้าต่างชาติเข้ามา ประเทศไทยค่อนข้างมีธรรมชาติเยอะ มี landscape ที่ดี เราอยากให้ต่างชาติมาประเทศไทย เพื่อ wellness เลย เรามี Sevice Mind ที่ดี มีธุรกิจที่เกี่ยวกับ wellness หลากหลาย อยากให้  Kiss My Soul เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”

“เร็ว ๆ นี้ก็จะมีโปรเจ็กต์ Sound Healer Training เนื่องจากมีคนสนใจมาพอสมควร มาเรียนรู้ว่าใช้ศาสตร์อย่างไร ทำอย่างไรให้อยู่ได้นาน ๆ ทำอย่างไรให้ดูแลตัวเองและฮีลลิ่งลูกค้าให้ได้สมดุลย์มากขึ้น เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ใครหลายคนได้มากขึ้น เริ่มมีลูกค้าสนใจให้เราเปิดคอร์สสอนมากขึ้น”

“Manifestation” สร้างความสำเร็จด้วยการ “คิดบวก” 

การแสดงให้เห็นชัด หรือการจินตนาการอย่างชัดเจนที่สุด ที่เรียกว่า Manifestation นั้น เป็นหลักการที่มีแนวคิดว่า ความคิดและจิตใจของเรามีพลังอำนาจในการดึงดูดสิ่งที่เราปรารถนา และเหตุการณ์ต่างๆ มาสู่ชีวิตของเราได้ หัวใจสำคัญของหลักการนี้คือ การจินตนาการถึงสิ่งที่เราต้องการให้ชัดเจนที่สุด เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ และเมื่อเราเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ สิ่งที่เราปรารถนานั้นจะเกิดขึ้นจริงในชีวิต

หลักการนี้ถูกเรียกว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction)” จิตใจของมนุษย์มีพลังมหาศาลในการดึงดูดสิ่งที่ตนคิดและปรารถนา หากเรามีความคิดที่เป็นบวก เราก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต แต่หากเรามีความคิดที่เป็นลบ สิ่งไม่ดีก็จะตามมา หลักการนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงหลังจากหนังสือ “The Secret” ถูกวางจำหน่ายในปี 2006 แม้ว่าในช่วงแรกจะถูกตั้งคำถามและเยาะเย้ยจากวงการวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยการนำเสนอมุมมองใหม่ที่ว่าด้วยพลังความเชื่อ การวาดฝัน และการจินตนาการ หนังสือเล่มนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น มียอดขายทะลุ 30 ล้านเล่มทั่วโลก และถือเป็นหนึ่งในหนังสือพัฒนาตนเองที่ประสบความสำเร็จสูงสุด

แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าหลักการนี้ขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าความเชื่อมั่นและการมุ่งมั่นของมนุษย์นั้น มีพลังผลักดันให้เราสามารถบรรลุความฝันและเป้าหมายได้ หลักการนี้จึงเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการคิดบวก การเชื่อมั่น และการมุ่งมั่นเพื่อให้บรรลุความสำเร็จในชีวิต

“manifest คือ ลมที่ผลักเราไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น แต่เรายังต้องเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเองอยู่ แต่เมื่อเราคิดลบ มันเหมือนลมที่ย้อนกลับมาหาเรา ก็อาจจะทำให้เดินช้าลงหรือจะไม่อยากเดินแล้ว เพราะว่ามันเหนื่อย”

“มันคือการที่เราเชื่อว่าสิ่งนั้นจะเกิด แล้วเราเห็นภาพนั้นหนึ่งรอบก่อน แล้วไปทำขึ้นมาจนมันเป็นความจริง เป็นวิธีคิดที่ค่อนข้างบวก”

“Manifest คือการมองภาพที่ดีที่สุด ที่สามารถเกิดขึ้นได้ แล้วรอดูมันเกิดขึ้นจริง เป็นการคิดบวก กับบวกสองรอบ แล้วเลือกทางที่เหมาะกับเราเอง”

วิสัยทัศน์สู่ความสำเร็จปี 2024 ด้วยพลังบวก

การตั้งเป้าหมายและสร้างแรงบันดาลใจเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ความฝันเป็นจริง ครั้งนี้ได้มีโอกาสร่วมทำ “Vision Board” พร้อมกระบวนการ Manifestation เพื่อเปิดรับพลังบวกจากจักรวาลอย่างน่าประทับใจ เริ่มต้นด้วยการทำ Manifestation ผ่านการจินตนาการและส่งพลังบวกไปยังจักรวาล เราได้เดินทางสู่สถานที่ปลอดภัยในใจผ่านการนั่งสมาธิ ปลดปล่อยความเครียด และแบ่งปันพลังบวกให้แก่เพื่อนร่วมชั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นผ่านการแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ เราได้สร้าง Personal Vision Board โดยทำ Positive Affirmation ด้วยการดึงไพ่ออราเคิลที่ถูกใจ วางบนบอร์ดตนเอง ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและมีเพื่อนร่วมสร้างสรรค์ด้วยกัน ประกอบกับข้อความบวกที่เสริมพลังใจ ท่ามกลางเพื่อนร่วมสร้างสรรค์ช่วยกันตกแต่งอย่างสนุกสนาน

หลังจากนั้น เราได้รับการบำบัดจิตวิญญาณด้วย Sound Healing เพื่อปรับสมดุลพลังงาน นำเราสู่ความสงบ ผ่อนคลายจากความวิตกกังวล และหวนนึกถึงตัวตนแท้ของเราเอง ปิดท้ายด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต เราได้รับพลังบวกจากเรื่องราวต่างๆ และความมั่นใจว่าการดึงพลังจากจิตใจเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อให้ความฝันเป็นจริงแน่นอน

กิจกรรมนี้เป็นการเติมแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ให้กับทุกคน เปิดโอกาสให้เราได้กำหนดทิศทางชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเสริมพลังจิตวิญญาณด้วยแรงบวกเพื่อเดินหน้าสู่จุดหมายปลายทางอย่างมั่นใจในปีนี้

Manifestation เป็นหลักการที่มีแนวคิดว่าความคิดและความรู้สึกคือพลังงาน และพลังงานที่เหมือนกันมักจะดึงดูดกันและกัน ‘Like Attracts Like’ หากเราอยากดึงดูดอะไรเข้ามาในชีวิตก็ต้องเปลี่ยนความคิดและความรู้สึกให้ ‘match’ กับสิ่งที่เราต้องการดึงดูด ซึ่งมีเทคนิคง่ายๆที่ลองไปทำตามได้ ดังนี้

  1. การมองเห็น ‘ความฝัน’ อย่างชัดเจน

ก่อนที่จะดึงดูดสิ่งที่เราต้องการเข้ามาได้เราต้อง ‘ชัดเจน’ กับตัวเองก่อนว่าเราต้องการอะไรจากใจจริง ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี หรืออยากได้เพราะคนอื่นอยากได้ ขั้นต้อนนี้เราเลยควรเริ่มต้นด้วยการเข้าใจตัวเองว่าเราอยากเป็นใคร มีชีวิตแบบไหน แล้ว ‘ทำไม’ เราถึงต้องการสิ่งนี้ จากนั้นให้จินตนาการถึงความฝันนั้นให้ชัดเจนใส่ดีเทลและความรู้สึกเข้าไปว่าเมื่อเราได้รับสิ่งนั้นแล้วจะทำให้เรา ‘รู้สึก’ อย่างไร ให้ละเอียดราวกับภาพนี้ได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริงได้ Everything is already inside of you.

  1. การฝึกขอบคุณสิ่งเล็กๆในทุกๆวัน

เขาว่ากันว่าความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกที่จะ ‘มองให้เห็น’ เพราะในทุกๆวันก็จะเจอกับเรื่องทุกข์และสุขปนๆกันแล้วแต่ว่าเราจะเลือกโฟกัสที่ความรู้สึกอะไร ให้ค่ากับสิ่งไหน การเห็นคุณค่าและรักตนเองถือเป็นสิ่งสำคัญ จงขอบคุณตนเองสำหรับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เช่น ขอบคุณร่างกายที่วันนี้เรายังมีสุขภาพที่ดีได้ชีวิตในการไปลองสิ่งใหม่ๆ ขอบคุณธรรมชาติรอบๆเราที่ให้พลังงานดีๆ ขอบคุณเพื่อนๆรอบๆตัว The more you see ‘GRATITUDE’ the more you will see it

  1. มีสติกับความคิดและคำพูดที่เราใช้กับตัวเองในทุกวัน

เพราะความคิดและความรู้สึก = พลังงาน เราจึงต้องหมั่นมีสติว่าช่วงนี้เราใช้คำพูดอะไรบ้างกับตัวเอง การใช้คำพูดหรือความคิดในเชิงลบ เช่น การดูถูกตนเอง การคาดการณ์ว่าสิ่งร้ายจะเกิดขึ้น เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปเก็บในจิตใต้สำนึกและทำลายพลังบวกภายในได้ หมั่นตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และทำกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและมีความสุข เพื่อรักษาพลังงานบวกภายในร่างกาย ซึ่งจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตได้

  1. การวางใจและให้เวลากับกระบวนการ

การเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแม้แต่ความคิดหลายๆอย่างล้วนใช้เวลาและความสม่ำเสมอ บางวันเราก็มีกลับไปคิดลบบ้างเป็นเรื่องปกติ ขอแค่เรามีสติมากขึ้นว่าเรากำลังคิดอะไรและค่อยๆเปลี่ยนมุมมองความคิดเราในทุกๆวัน ทริคในข้อนี้เลยจะเป็นการจดเขียนบันทึก ให้เราได้เข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวเรา ช่วงนี้เราคิดอะไร รู้สึกอะไรนะ แล้วพอมาย้อนอ่านเราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการว่าเราค่อยๆมีความคิดที่เป็นบวกมากขึ้น และเมื่อเราเห็น ‘คุณค่าในตัวเอง’ ได้มากขึ้น เชื่อมั่นว่าภาพในฝันมันเป็นจริงได้ ออกไปทำมันทุกๆวันด้วยพลังงานบวก เดี๋ยวสิ่งที่เราอยากดึงดูดจะค่อยๆโฟลว์เข้ามาหาเราเอง

การปรับทัศนคติที่มีต่อความคิด จากการตัดสินไปสู่การเข้าใจและปลอบประโลม

ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของเราโดยอัตโนมัตินั้น มักเป็นเพียงปฏิกิริยาสะท้อนจากประสบการณ์เจ็บปวดในอดีต โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องตัวเราจากการได้รับบาดแผลซ้ำอีกครั้ง อย่างไรก็ตามความคิดเหล่านี้อาจไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน และอาจนำไปสู่ความวิตกกังวล หรือความรู้สึกผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แทนที่จะปฏิเสธหรือต่อต้านความคิดเหล่านั้น สิ่งสำคัญคือการยอมรับและเข้าใจที่มาของมัน พร้อมทั้งปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน เปรียบเสมือนการมีบทสนทนากับระบบร่างกายของเรา เพื่อแสดงความเห็นใจต่อสิ่งที่มันพยายามปกป้อง และสร้างความเข้าใจใหม่ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นแตกต่างออกไป

การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับความคิดร้ายๆ ได้อย่างสงบและเป็นสันติ แทนที่จะปล่อยให้มันครอบงำจิตใจของเรา เราจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะสร้างทัศนคติและความสัมพันธ์ใหม่กับความคิดของตนเอง ด้วยการให้ความรักและเห็นใจแทนที่จะตัดสินลงโทษ เส้นทางนี้จะนำไปสู่การพัฒนาสุขภาพจิตที่ยั่งยืน และช่วยให้เราเดินหน้าต่อไปด้วยความมั่นใจและเป็นสุขมากขึ้น

หากสนใจที่จะเข้าใจเรื่องศาสตร์บำบัดพลังงานและธรรมชาติ ติดต่อ

Facebook: Kiss My Soul

Instagram: kissmysoul.journey

Comment :

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Related Reviews